วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

จมูกใหม่ไฉไลกว่าเดิม


 

 
 
 

 

จมูกใหม่ไฉไลกว่าเดิม

สวัสดีค่ะเพื่อนๆที่น่ารักทุกคน วันนี้พี่หญิงจะมารีวิวจมูกใหม่ที่พี่หญิงไปทำศัลยกรรมมาครั้งล่าสุด ปัจจุบันนี้การทำศัลยกรรมจมูกเป็นสิ่งแรกที่สาวๆทุกคนเริ่มทำศัลยกรรม เพราะเป็นการผ่าตัดเล็ก ที่หลังทำเสร็จจะใช้เวลาในการรักษาไม่นาน เมื่อทำแล้วหน้าจะเปลี่ยนไปเยอะมาก จะทำให้หน้าเราดูมีมิติมากขึ้น แต่งหน้าสวยขึ้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นการศัลยกรรมแต่ละครั้งอาจจะได้ผลที่ไม่พึ่งพอใจหรือทำแล้วไม่รับกับใบหน้าของเรา พูดง่ายๆทำแล้วไม่สวยนั้นเอง จึงทำให้ต้องเสียเงิน เสียเวลา เจ็บตัวอีกครั้ง เพื่อนๆจึงควรศึกษาและดูCaseการทำศัลยกรรมของแพทย์ศัลยกรรมจากหลายๆสถาบันความสวยความงามต่างๆอย่างระเอียดด้วยค่ะ เพื่อที่จะได้ผลลัพท์ที่พึงพอใจ และทำให้เพื่อนๆสวย เพราะการที่เพื่อนๆสวยขึ้น มันก็ส่งผลให้เพื่อนๆใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้นจริงหรือเปล่าค่ะ การทำศัลยกรรมจมูกใหม่ในครั้งนี้เป็นการแก้ไขจากจมูกของเดิมที่ไปทำมาแล้วทรงจมูกสั้นไป จึงทำให้ใบหน้าดูไม่สวยไม่ได้รูปทรงและทำให้ใบหน้าดูกลมมากขึ้น การทำจมูกใหม่ในครั้งนี้พี่หญิงเลือกทำที่คลีนิกหลุยส์ โบเต้ สาขาระยอง เพราะพี่หญิงศึกษาจากcaseของเพื่อนๆพี่หญิงที่ไปทำมาจากคลีนิกแห่งนี้ พวกเขาได้จมูกใหม่ที่สวยขึ้นเยอะมาก พี่มั่นใจว่าคุณหมอสุดหล่อและใจดีจะทำให้พี่สวยขึ้นได้แน่นอน555 และอีกอย่างในการตัดสินใจในทำศัลยกรรมในครั้งนี้เพราะไกล้กับที่อยู่ของพี่หญิงจึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและง่ายต่อการเดินทางมาพบแพทย์ด้วย อย่ารอช้าเราไปดูกันเลยค่ะ




ภาพที่ 1 จมูกก่อนทำศัลยกรรมแก้ไขใหม่




ภาพที่ 2 จมูกหลังทำศัลยกรรมเสร็จทันที




ภาพที่ 3 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 2 ตอนเช้า




ภาพที่ 4 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 2 ตอนเย็น




ภาพที่ 5 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 3




ภาพที่ 6 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 5




ภาพที่ 7 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 6


ภาพที่ 8 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 7




ภาพที่ 9 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 10




ภาพที่ 10 จมูกหลังทำศัลยกรรม วันที่ 13




ภาพที่ 11 จมูกหลังทำศัลยกรรม ครบ 1 เดือน




ภาพที่ 12 ภาพเปรียบเทียบจมูกเก่า-ใหม่

เป็นยังไงบ้างค่ะ กับจมูกใหม่ของพี่หญิงสวยใช่ไหมละฮิฮิ สุดท้ายนี้พี่หญิงอยากจะบอกเพื่อนๆที่คิดจะไปทำศัลยกรรมเพื่อความงามต่างๆ เพื่อนๆก็ควรศึกษารายละเอียดให้มากๆ ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อตัวเพื่อนๆเองนะค่ะ ไปก่อนละค่ะ บายบ๊าย ^^

 

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

สัตว์เลี้ยงของฉัน










สัตว์เลี้ยงของฉัน

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆวันนี้พี่หญิง จะเขียนบล็อกเกี่ยวกับ สัตว์เลี้ยงของฉันในปัจจุบันคนเรามักจะเลี้ยงสัตว์เอาไว้เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงา หรือแม้แต่จะเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็ตาม  พี่หญิงจึงอยากแนะนำนิสัยสัตว์เลี้ยงของพี่หญิง เพื่อเพื่อนๆที่กำลังมองหาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงแก้เหงาสักตัว  มี 4 ตัว 4 สายพันธุ์ ดังนี้

ภาพจาก : http://www.thaidog.info/

                1.  เยอรมันเชพเพิร์ด เป็นสุนัขขนาดใหญ่ที่เฉลียวฉลาด อันดับ 3 ของโลก ลักษณะสายพันธุ์ที่เป็นสุนัขที่สุภาพ สมาธิดี มีความกล้าหาญ รู้หน้าที่ และมีความมุ่งมั่นสูง มีประสาทสัมผัสในด้านการดมกลิ่นที่ติดอันดับโลก มีประสาทหูที่ไวต่อเสียง มีไหวพริบในการรับคำสั่งจากมนุษย์ มีความสามารถในการปฎิบัติตามคำสั่ง ทั้งนอก และในสายจูง และยังเป็นเพื่อนที่แสนดีต่อผู้เป็นเจ้าของ จึงเป็นสุนัขสายพันธุ์ใช้งาน ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่ครบเครื่องในเรื่องของความเป็นสุนัข เฝ้าบ้าน ที่เป็นมิตร ที่ดีที่สุดในโลก



                2.  บีเกิ้ล (Beagle) เป็นสุนัขขนาดกลาง  จัดอยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ (scent hounds) ถูกพัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย เนื่องจากบีเกิ้ลมีประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าอาหาร ควรให้อาหารเม็ดเนื่องจากมีสารอาหารครบ ไม่ควรให้อาหารของคนกับบีเกิ้ลโดยเด็ดขาด เพราะเค้าอาจติดใจรสชาติ กลิ่นของอาหารคน และไม่อยากกินอาหารเม็ดอีกต่อไป


ภาพจาก : http://www.yespetshop.com/product/

                3. ชิวาวา เป็นสุนัขขนาดเล็ก ถือว่าตัวเล็กที่สุดในโลก!! หูมีขนาดใหญ่ ดวงตากลมโต เหมาะที่จะใช้เลี้ยงเป็นเพื่อน ชอบออกไปเดินเล่นกับเจ้าของ เห่าเสียงดัง ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าวของ  ชิวาวาเป็นสุนัขมีความฉลาดและจงรักภักดีต่อเจ้าของมากเมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ โดยปกติมักเป็นสุนัขที่เงียบสงบไม่ค่อยเห่าส่งเสียงรบกวน เว้นแต่จะถูกรบกวนหรือทำตกใจจึงจะเห่าเพื่อรักษาที่อยู่อาศัยของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีนิสัยกล้าหาญมักจะยืนหยัดต่อสู้กับสุนัขตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กกว่า แต่ก็มีอัธยาศัยที่ดีกับสุนัขตัวอื่นหรือสัตว์เลี้ยง ชนิดอื่นๆ
 
ภาพจาก : http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/

                4. แมวเปอร์เซีย มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา นิสัยของแมวสายพันธุ์นี้ ในแมวเปอร์เซียเพศเมีย โดยทั่วไปจะว่านอนสอนง่ายกว่าแมวเพศผู้ จะมีนิสัยเรียบร้อย ขี้อ้อน ขี้ประจบ จะชอบคลอเคลียเจ้าของ ในบางตัวจะมีโลก่วนตัวสูงตั้งแต่เด็กจนโต หรือขี้เล่นมากจนทำให้เจ้าของเหนื่อย ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

เป็นยังไงบ้างค่ะเพื่อนๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงของพี่หญิง ที่ทั้งน่ารัก ขี้อ้อน รักเจ้าของ เฝ้าบ้านได้ดี  พอจะทำให้เพื่อนได้ความรู้ในการตัดสินใจที่จะหาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาสักตัวไหมค่ะJ
สุดท้าย จงรักและดูแลสัตว์เสี้ยงของเราให้ดีที่สุดค่ะ

Jต้องขอนำรูปภาพจากอินเตอร์เน็ตมาใส่
เพราะสัตว์เลี้ยงของพี่หญิงถ่ายรูปยากมาก
หยุกหยิกตลอดเวลาค่ะJ

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

ใครเอาเนยแข็งของฉันไป





ใครเอาเนยแข็งของฉันไป
 


ภาพจาก: http://www.lungkitti.com

ถึง เพื่อนๆ... ของเก่า..นำมาทบทวนใหม่...เพื่อเพื่อนๆสนใจอยากอ่านอีกครั้ง ลองอ่านดูนะค่ะ สำหรับหญิงมันสามารถเปลี่ยนความคิดของหญิงได้เลยละ

เรื่อง: ใครเอาเนยแข็งของฉันไป
ที่มา: นายแพทย์สเปนเซอร์ จอห์นสัน ได้เขียนหนังสือชื่อ WHO MOVED MY CHEESE?

มีเรื่องย่อว่า

มีตัวละครขนาดจิ๋วอยู่ 4 ตัว วิ่งวนอยู่ในเขาวงกต  
ซึ่งสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง เพื่อเสาะหาเนยแข็งอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ในนี้มีสองชีวิตเป็นหนู ตัวหนึ่งชื่อ 'สนิฟฟ์' กับ'สเคอร์รี่' ส่วนมนุษย์แคระอีกสองคนชื่อ 'เฮ็ม'กับ 'ฮอว์' ทั้งสี่ชีวิตใช้เวลาในแต่ละวันในการวิ่งหาเนยแข็งในเขาวงกตนั้น

เจ้าหนู สนิฟฟ์ และ สเคอร์รี่ ใช้วิธีลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง พวกมันจะจำทางที่ไม่มีเนยแข็งไว้ แล้ววิ่งไปทางอื่นจนถูกทาง ส่วนคนแคระ

เฮ็ม กับ ฮอว์ ก็ใช้ความรู้และประสบการณ์ในอดีตเข้าช่วย ในที่สุดทั้ง 4 ชีวิต ได้พบกับคลังเนยแข็งขนาดให่ ที่ดูเหมือนมีเนยเพียงพอที่ให้กินไปได้ตลอดชีวิต พวกเขาได้พบแหล่งอาหารอันวิเศษที่แสนสะดวกสบาย และไม่ต้องวิ่งตระเวนหาอีกต่อไป

เวลาผ่านไปจนมาถึงเช้าวันหนึ่ง ทั้ง 4 ชีวิต ได้พบว่าเนยแข็งกำลังจะหมดไป เจ้า สนิฟฟ์ เห็นเช่นนั้นก็ไม่เสียเวลาวิเคราะห์ มันออกวิ่งค้นหาเนยแข็งก้อนใหม่ทันที ส่วนเจ้า สเคอร์รี่ เห็นเช่นนั้นก็วิ่งตามโดยไม่รอช้า สนิฟฟ์ ไปถึงไหน สเคอร์รี่ ก็ไปที่นั่น

คนแคระ เฮ็ม กับ ฮอว์ ไม่คาดมาก่อนว่าเนยแข็งจะหมดไป เฮ็ม
ถึงกับตีโพยตีพายกล่าวโทษเทวดาฟ้าดินว่า ไม่ยุติธรรมกับเขา
แล้ววิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ว่าเนยแข็งควรจะกลับมาหาเขาอีก

แต่ ฮอว์ ดูจะยอมรับความจริงได้มากกว่า เขาเริ่มคิดว่า เขาควรทำการเปลี่ยนแปลง เขาจึงชวน เฮ็ม ให้ออกไปหาเนยแข็งใหม่แบบที่หนูสองตัวกำลังทำอยู่ ปรากฏว่า เฮ็ม ไม่ยอมรับฟัง ฮอว์ จึงไปสู่เขาวงกตตามลำพัง

และแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็ได้พบคลังเนยแข็งแห่งใหม่ที่ดีและใหญ่กว่าเดิม

ฮอว์นั้นแม้จะออกมาช้ากว่าเจ้าหนูทั้งสอง แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบคลังเนยแข็งใหม่ เช่นกัน เขาจึงกลับไปชวน เฮ็ม ให้ออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่ แต่ เฮ็ม กลับปฏิเสธ ทั้งยังไม่ยอมรับเนยแข็งที่ ฮอว์ อุตส่าห์เอาไปฝาก ฮอว์ จึงจำใจต้องปล่อยเพื่อนไว้เช่นนั้น


ระหว่างที่ ฮอว์ ออกมาเผชิญโชคครั้งใหม่ ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทีละน้อย เขาสรุปสัจธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเขียนไว้บนกำแพงเป็นระยะๆ  

'
ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณอาจจะสูญพันธุ์'

ฮอว์ สุขสบายอยู่ในคลังเนยแข็งใหม่ แต่ก็ยังคิดและหวังว่า เฮ็มเพื่อนรักจะตามมาตามลายแทง และข้อคิดที่เขาบอกทางไว้ให้ แล้ววันหนึ่ง ฮอว์ ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากทางเดินข้างนอก นั่นอาจจะเป็น เฮ็ม ก็ได้ใครจะรู้

4 ชีวิตเป็นตัวแทนแห่งสัญชาตญาณและความคิดในการตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

สนิฟฟ์ เป็นผู้ดมกลิ่นการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใคร จึงนำออกไปก่อน

สเคอร์รี่ ไม่คิดอะไรเลย วิ่งตามกระแสอย่างเดียว

เฮ็ม เป็นผู้ปฏิเสธและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏโฉมในทางเลวร้ายกว่าเดิม

ส่วน ฮอว์ เป็นคนเรียนรู้และปรับตัวตามยุคสมัย เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า


ในโลกแห่งธุรกิจ และโลกแห่งการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย นิทานเรื่องนี้อาจให้แง่คิดที่เตือนให้ผู้คนมองเห็น การเปลี่ยนแปลง และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด



ที่มา: http://www.jengsud.com/webboard-9036/